เพราะ “ทองคำ”ยังคงมี “ราคาทอง”อยู่ที่หลักหมื่นกว่า ทำให้การซื้อแต่ละครั้งอาจต้องเตรียม “เงิน”ให้พร้อมก่อนเสมอ แต่ก็มีรูปแบบการซื้อทองคำให้เลือกอย่าง ร้านทอง,ผ่อนทองหรือออมทอง ซึ่งจะมีข้อแตกต่างหรือข้อดี,ข้อเสียอย่างไรบ้าง
ซื้อทองเงินสด เป็นการใช้เงินสดซื้อทันที โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ เพียงแค่พกเงินสดที่มีไป " ซื้อทองที่ร้านทอง " ในเวลาทำการ ,ซึ่งจะได้สัมผัสทองคำจริง ๆ,ได้ลองสวมใส่และตรวจสอบการชำรุดหรือเช็คน้ำหนักทองให้ครบ และสามารถกำหนดวัน,เวลาหรือราคาทองที่จะซื้อได้ เช่น ซื้อทองตอนทองลง หรือ ขายทองตอนทองขึ้น , โดยวิธีการซื้ออาจต้องใช้บัตรประชาชนเพื่อยืนยันการซื้อ,ขาย
แต่หากเป็นการ " ซื้อทองออนไลน์ " เป็นการซื้อขายทองคำผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องเดินไปที่ร้านทอง , สามารถสั่งซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านช่องทางการซื้อ เช่น ไลน์ ( Line ) , เว็บไซต์หน้าร้าน,อินสตาแกรม,เฟสบุคเพจ ฯลฯ ,โดยจะต้องบันทึกสลิปโอนเงินไว้เป็นหลักฐานด้วย,และหากต้องการขาย ต้องนำทองคำไปขายที่ร้านทองเท่านั้น ไม่ควรนำส่งทางไปรษณีย์เพราะอาจเกิดการสูญหายได้
นอกจากนี้เงินสดที่ดีต้องเป็น “เงินเย็น”ที่ไม่มีภาระต้องนำส่งคืนใครหรือต้องรีบใช้ เช่น เงินเดือน ( กรณีเงินเดือนเยอะ ) ,เงินเกษียณ,เงินโบนัส,เงินถูกรางวัล (ล็อตเตอรี่,สลากออมสิน,สลาก ธกส ) เป็นต้น ซึ่งหากเป็น “เงินร้อน” เช่น เงินกู้ ,เงินยืม,เงินจำนำ,จำนอง แม้แต่เงินสดจาก “บัตรกดเงินสด” อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมในการส่งคืน และหากจัดการไม่ดีอาจก่อ"หนี้"ขึ้นได้
ซื้อทองเงินผ่อน เป็นรูปแบบการซื้อทองคำที่ตกลงราคากันไว้ก่อน ( ล็อคราคา ) แล้วทะยอยจ่ายหรือผ่อนจ่ายทีหลัง ซึ่งสามารถเลือกลวดลายและน้ำหนักทอง ( ครึ่งสลึง, 1 สลึง, 2 สลึง ,1 บาท ) ไว้ล่วงหน้าก่อนได้ โดยการผ่อนจะมีอยู่ 2 แบบคือ
"ผ่อนทองกับร้านทอง" คือ การซื้อทองคำและผ่อนจ่ายกับร้านทองโดยตรง , เป็นรูปแบบ “ผ่อนครบ รับทองทันที “ คือ ชำระราคาทองจนครบจึงค่อยนัดรับทองที่ร้านทอง โดยจะได้ราคาทอง ณ วันที่ทำการซื้อ, ซึ่งส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาผ่อนที่กำหนดไว้คือ 3 เดือน,6 เดือน เป็นต้น และหากยกเลิกการผ่อนจะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย ซึ่งข้อดีของการผ่อนทองกับร้านทองคือไม่ต้องกังวลเรื่องทองหาย แต่ข้อเสียคือจะไม่ได้ทองคำในทันที
"ผ่อนทองกับบัตรเครดิต" คือ การใช้ “บัตรเครดิต “รูดซื้อทอง เหมือนรูดซื้อสินค้าทั่วไป ( ต่างจาก “บัตรผ่อนสินค้า” ที่เอาไว้ผ่อนอย่างเดียว ) แล้วผ่อนจ่ายคืนผ่านทางธนาคาร โดยเป็นรูปแบบ “รับทองก่อน ผ่อนทีหลัง “คือได้สินค้าไปใช้ก่อนแล้วแบ่งชำระเป็น “งวด” (รายเดือน)
โดยมี “อัตราดอกเบี้ย”ในการผ่อนชำระ คิดเป็น % ต่อเดือน และค่าบริการ ( ชาร์จ ) 3-5 % ด้วย ซึ่งมีระยะเวลาในการผ่อนชำระรายเดือนตั้งแต่ 6 เดือน,10 เดือน ( นานสุด 24 เดือน ) และบางบัตรมีโปรโมชั่นดอกเบี้ยพิเศษ 0 % หากผ่อนในเวลาที่กำหนด ( ส่วนใหญ่ 3 เดือน ) หรือมีส่วนลด “ค่ากำเหน็จ”,”ค่าพรีเมี่ยม”,ฟรีค่าธรรมเนียมในการรูดซื้อ เป็นต้น โดยข้อดีของการผ่อนกับบัตรเครดิตคือสามารถซื้อทองน้ำหนักเยอะ ๆ ได้ เช่น ทอง 1 บาท , ทอง 2 บาท แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ “วงเงิน” ในบัตรอาจไม่พอซื้อ
ซื้อทองเงินออม เป็นการใช้ เงินเก็บ,เงินออม ที่ได้เก็บหอมรอมริบมานำไปซื้อทองคำ โดยจะคล้ายๆ กับการซื้อด้วยเงินสด แต่แตกต่างตรงที่จะไม่ทุ่มซื้อครั้งเดียวหมด แต่จะทะยอยซื้อไปเรื่อย ๆ ตามช่วงจังหวะราคาทองถูก หรือตามจำนวนเงินที่เก็บได้ เพราะบางคนมีปัญหา “เก็บเงินไม่อยู่” จึงเน้นราคาทองที่พอซื้อได้เท่านั้น หรือจะเลือกวิธี “ออมทอง” คือ การทยอยซื้อทองคำเก็บสะสมแบบรายเดือน ,ใช้วิธีเดียวกับการซื้อหุ้นเก็บ ( ออมหุ้น ) แบบ ถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA ( dollar cost averaging ) คือกำหนดจำนวนเงินที่จะซื้อทองในแต่ละเดือน ,ซื้อโดยไม่สนใจราคาทอง , เมื่อออมจนครบตามน้ำหนักหรือราคาทองที่ต้องการก็สามารถเบิกทองคำมาเก็บไว้ได้
อ่านบทความ "ทองคำแบบไหน?เหมาะสำหรับซื้อเก็บหรือลงทุน" คลิ๊ก